top of page
  • White Facebook Icon
  • White Instagram Icon

"ALL ABOUT MIDSOLES" เรื่องนี้เกี่ยวกับพื้น

Writer's picture: Sneaka BoxSneaka Box

นอกเหนือจากดีไซน์ของรองเท้าแล้ว ความสบายในการสวมใส่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่เราจะตัดสินใจซื้อรองเท้าคู่นั้นๆ เพราะรองเท้าจะใส่สบายหรือไม่นั้น หลักๆ เลยจะขึ้นอยู่กับ “เทคโนโลยีพื้นรองเท้า” หรือ Midsole นั่นเอง โดยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา พื้นรองเท้าไม่ได้ถูกออกแบบมาเพียงเพื่อช่วยในเรื่องความสบายเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรองเท้าคู่นั้นๆ อีกด้วย และจากการแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสาหกรรมรองเท้าในปัจจุบัน ทำให้เหล่าแบรนด์ทั้งหลายต่างพากันคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีพื้นรองเท้าออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยวันนี้เราจะมาแนะนำสุดยอดเทคโนโลยีที่ซ่อนอยู่ภายในรองเท้าจากแบรนด์ต่างๆ กันครับ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเราได้เห็นชื่อของเทคโนโลยีเหล่านี้ สามารถการันตีได้เลยว่าจะต้อง “ใส่สบาย” กว่าพื้นธรรมดาอย่างแน่นอน


Nike Air


เริ่มต้นด้วยเทคโนโลยี Air Sole ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1979 (หรือเกือบ 40 ปีที่แล้ว) บนรองเท้า Nike Air Tailwindจากผลงานการคิดค้นของ Frank Rudy  อดีตวิศวกรจาก NASA กับแนวคิดที่อยากทำให้ผู้สวมใส่มีความรู้สึก “ราวกับเดินอยู่บนอากาศ” โดยเจ้าพื้น Air Sole ตัวนี้ผลิตมาจากการบรรจุก๊าซเข้าไปภายใน Polyurethane (PU) แคปซูล ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่ ความยืดหยุ่น และ คงทน นั่นเอง



ในเวลาต่อมา Tinker Hatfield สุดยอดดีไซเนอร์ของ Nike ก็นำเอาเทคโนโลยี Air Sole ตัวนี้มาพัฒนาต่อ โดยการใช้ Blow-Molding หรือการเพิ่มอากาศใน Air Sole แบบเต็มสูบ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Air Max นั่นเอง ซึ่งเจ้าเทคโนโลยีก็มาดังเป็นพลุแตกหลังจากที่โมเดล Air Max 1 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 1987 เพราะนอกเหนือจากเรื่องประสิทธิภาพแล้ว ยังถือเป็นครั้งแรกรองเท้า ที่มีการเผยให้เห็นเทคโนโลยีภายในรองเท้า นับเป็นสุดยอดงานดีไซน์ที่มีความแปลกใหม่ และได้รับความนิยมตลอดกาล

ปัจจุบันเทคโนโลยี Air Sole ยังคงถูกบรรจุไว้ในโมเดลรองเท้าหลากหลายโมเดล สำหรับใครที่อยากจะสัมผัสกับความเบา สบาย ของพื้น Air ตัวนี้ เราขอแนะนำให้คุณไปสัมผัสได้ ในโมเดลรองเท้าวิ่งอย่าง Air Vapor Max หรือ รองเท้าไลฟ์สไตล์อย่าง Air Max 270  รวมถึงโมเดลรองเท้าตระกูล Air Max รุ่นเก่าๆ ที่ปัจจุบันถูกนำทำใหม่ให้มีความเป็นรองเท้าไลฟ์สไตล์กันมากขึ้นอีกด้วย


Air Zoom


อีกหนึ่งเทคโนโลยีจากตระกูล Air Sole ที่ถูกเปิดตัวในปี 1995 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเหล่านักกีฬาที่เน้นด้านความเร็ว (Speed) เป็นหลัก อย่างเช่น การวิ่ง บาสเกตบอล รวมถึงกีฬาอื่นๆ อีกเพียบ แล้วรู้หรือเปล่าว่า Air Zoom ตัวนี้ ยังอยู่ในรองเท้ารุ่น Nike “Zoom Vaporfly 4%” รองเท้าวิ่งของพี่ตูน บอดี้แสลม ที่แกใช้ใส่วิ่งมาราธอนใน #ก้าวคนละก้าว อีกด้วยนะ

จุดเด่น : พระเอกของเทคโนโลยีตัวนี้ คือ “เส้นใยไฟเบอร์”ที่ถูกถักภายใต้  Air unit อย่างแน่นหนา พร้อมพื้นรองรับแรง 2 ชั้น ที่มีความบาง เมื่อลงน้ำหนักเท้าลงไป เส้นใยไฟเบอร์จะเกิดการหดตัวลงตามน้ำหนัก ก่อนดีดกลับคืนอย่างรวดเร็ว (Energy Return) ในขณะที่ยกเท้าขึ้น ทำให้ผู้ที่สวมใส่สามารถวิ่งได้เร็วขึ้น

ความรู้สึก : เมื่อใส่วิ่งจะให้ฟิลลิ่งที่เด้งไปข้างหน้า แต่ในเรื่องของความนุ่ม (Soft) อาจจะมีไม่มากนัก เพราะถูกออกแบบมาให้วิ่งด้วยความเร็วมากกว่า

ใครกำลังมองหารองเท้าเพื่อนำไป “วิ่งแบบพี่ตูน” ก็สามารถไปลองกันได้ ในโมเดลรองเท้าวิ่งตระกูล Air Zoom Pegasus  แต่ถ้าใครไม่ชอบวิ่ง เทคโนโลยีตัวนี้ก็มีอยู่ในรองเท้าไลฟ์สไตล์ อย่าง Air Zoom Mariah และ Air Zoom Mariah Flyknit Racer  ด้วยเช่นกัน 


Lunarlon


เทคโนโลยีพื้นรองเท้า ที่เกิดจากแนวความคิดของ Kevin Hoffer และ Eric Avar สองดีไซเนอร์มือโปรจาก Nike ที่อยากจะสร้างพื้นรองเท้าให้กับนักวิ่งและนักบาสเกตบอล ดังนั้นเทคโนโลยีตัวนี้จึงต้องมีความนุ่ม เด้ง และในขณะเดียวกันต้องสามารถตอบสนองได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยการใช้วัสดุที่เกิดจากการผสมผสานแผ่นโฟม EVA และยาง NBR เข้าด้วยกัน เกิดเป็นโฟมที่มีชื่อว่า Lunarlon

จุดเด่น :  ถึงแม้พื้นจะดูหนา แต่รู้มั้ย ว่าวัสดุตัวนี้ มันมีความเบามากกว่าโฟม Phylon ทั่วไปถึง 30% อีกทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องความนุ่ม ในขณะเดียวกันก็สามารถส่งแรงดีดกลับได้อย่างยอดเยี่ยม

ความรู้สึก : ถ้าใส่วิ่งจะให้ฟิลลิ่งที่สบายเท้า  และผ่อนคลาย ในขณะเดียวกันก็ส่งแรงเด้งกลับได้เป็นอย่างดี จะใส่เดินตลอดทั้งวันก็ไม่เมื่อย

ด้วยคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมนี้ของโฟม Lunarlon เทคโนโลยีตัวนี้จึงถูกนำไปใช้โมเดลรองเท้าวิ่งอย่าง Nike LunarEpic รวมถึงโมเดลรองเท้าไลฟ์สไตล์ อย่าง Nike LunarCharge Essential เป็นต้น


React


เมื่อ Nike ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมของ Lunarlon ให้ดียิ่งขึ้นไปอีกระดับ จึงเกิดเป็นพื้น React สุดยอดพื้นรองเท้าตัวใหม่ล่าสุดจาก Nike ที่ใช้เวลาการพัฒนาถึง 3 ปี ในการค้นหาวัตถุดิบที่ลงตัว ด้วยการผสมผสานทางเคมีกว่า 400 ครั้ง ในที่สุด ก็ได้วัตถุดิบที่มีคุณสมบัติตามที่เหนือกว่า Lunarlon จนได้

จุดเด่น : พื้น React ยังคงคอนเซ็ปต์เดียวกับ Lunarlon คือความนุ่ม เด้ง และเบา แต่มีประสิทธิภาพที่มากกว่าเดิมในทุกๆ ด้าน อีกทั้งยังใช้วัสดุโฟมชนิดพิเศษที่มีความทนทานเป็นอย่างสูงอีกด้วย

ความรู้สึก : จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม ที่พึ่งถอยรองเท้า  Nike Epict React มาใช้เป็นรองเท้าวิ่งคู่ใหม่สดๆ ร้อนๆ ต้องบอกเลยว่าเจ้าพื้น React ตัวนี้ มันให้ความรู้สึกนุ่ม เบาสบาย และมีความเด้งมากๆ (เหมือนกับติดสปริงไว้ใต้รองเท้ายังไงยังงั้น) อีกทั้งยังใส่เดินได้ตลอดทั้งวัน ไม่มีปวดเท้าอีกด้วย

ซึ่งนอกจากรองเท้าตัวนี้จะถูกบรรจุลงในรองเท้าวิ่งแล้ว ปัจจุบันเราจะเริ่มเห็นเทคโนโลยีตัวนี้ถูกนำไปใช้ในโมเดลรองเท้าไลฟสไตล์อย่าง Nike React Element แล้ว เช่นกัน



Free


จะดีแค่ไหน หากมีรองเท้าที่ช่วยให้การเคลื่อนไหวของเท้าเป็นไปได้อย่างเป็นอิสระ เหมือนกับว่าคุณไม่ได้ใส่รองเท้า และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี Free พื้นรองเท้าที่ช่วยให้การเคลื่อนไหวของเท้ามีความเป็นธรรมชาติ เริ่มต้นจากการที่ Nike ศึกษาเท้าของนักกีฬาประจำมหาวิทยาลัย Stanford ที่วิ่งด้วยเท้าเปล่า (Barefoot) แล้วพบว่ามีความแตกต่างจากการวิ่งในขณะที่สวมใส่รองเท้า เพราะเท้าของมนุษย์มีกระดูกข้อต่อมากมาย เวลาวิ่ง กระดูกข้อต่อเหล่านี้จะทำการหดและขยายออก (เป็นกลไกทางธรรมชาติ) ซึ่งจะแตกต่างกับเวลาวิ่งในขณะที่สวมใส่รองเท้า เพราะรองเท้าจะควบคุมการเคลื่อนไหวของเท้า


จุดเด่น : พื้นรองเท้าทำจากวัสดุโฟม มีการทำรอยบากไว้ให้เป็นร่องลึกและเพิ่มดอกยางที่มีลวดลายย้อนกลับ เพื่อให้พื้นสามารถยืดขยายและโค้งงอได้เหมือนกับเท้ามนุษย์ นั่นทำให้นอกจากช่วยให้ฝ่าเท้ามีความเป็นธรรมชาติใกล้เคียงกับการเดินหรือวิ่งด้วยเท้าเปล่าแล้ว นิ้วเท้าของเราจะสามารถหดหรือคลายออกได้ ซึ่งเป็นการช่วยบริหารกล้ามเนื้อไปในตัวอีกด้วย

ความรู้สึก : ให้ความความอิสระในการเคลื่อนไหว ทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่รองเท้า อาจไม่เด้งเท่ากับพื้น อย่าง Lunarlon หรือ React  แต่โดยรวมก็สามารถใส่วิ่งในระยะใกล้และสามารถใส่เดินได้ตลอดทั้งวันแบบสบายๆ ครับ

หากใครที่อยากสัมผัสกับความเป็นธรรมชาติของเท้า ในขณะที่เคลื่อนไหว ก็สามารถไปลองพื้นตัวนี้ได้ ในโมเดลตระกูลรองเท้าวิ่งอย่าง Nike Free RN 2018 กันได้เลย


Adidas Boost Technology

สุดยอดเทคโนโลยีพื้นรองเท้าเรือธงจากแบรนด์สามแถบ ที่หลายๆ คน อาจจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยเกิดจากความร่วมมือของ adidas และ BASF บริษัทที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เคมีภัณฑ์ เปิดตัวครั้งแรกในชื่อ Energy Boost ซึ่งใช้เม็ดโฟมแบบ EVA (Ethylene-Vinyl Acetate) กว่า 1,000 ชิ้น ต่อยอดเป็น Pure Boost ที่เพิ่มเม็ดโฟมเป็น 2,400 ชิ้น ทำให้เบาสบายกว่าเดิมมาก จนมาถึงรุ่น Ultra Boost ที่ใช้เม็ดโฟม 3,000 ชิ้น เสริมด้วยวัสดุ TPU (Thermoplastic Polyurethane) ที่ทนทานในทุกอุณหภูมิ (สามารถทนความร้อนสูงได้มากกว่าพื้นโฟม EVA ถึง 3 เท่า)

จุดเด่น : มีคุณสมบัติ นุ่ม เด้ง เบา และมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้ Boost กลายเป็นพื้นรองเท้าที่ สามารถคืนพลังงานได้อย่างเต็มที่ (Energy Return)

ความรู้สึก : ถ้าใส่วิ่งจะให้ความรู้สึกนุ่มและนิ่มกว่าพื้นตัวอื่นๆ  แต่ไม่ถึงกับยวบลงไปเลย ถ้าใส่เดินก็ยังใส่ได้สบาย แต่ถ้าเดินนานๆ ก็อาจเมื่อยได้ (ด้วยความนิ่มมากๆ ของมันนั่นเอง)

หากใครที่อยากสัมผัสความนุ่มของพื้น Boost ก็ไม่ยาก เพราะในปัจจุบัน รองเท้าของ adidas ก็ใช้เทคโนโลยีพื้นตัวนี้กันเสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าไลฟ์สไตล์ รุ่นยอดฮิต อย่าง INIKI,NMD และ YEEZY รวมถึงโมเดลรองเท้าวิ่งอย่าง  Adizero Adios 3, Ultra Boost และ Pure Boost เป็นต้น


Bounce




เทคโนโลยีพื้นรองเท้าที่พึ่งเปิดตัวในปีที่ผ่านมา ซึ่งถูกบรรจุลงในรองเท้า adidas  AlphaBounce โมเดลรองเท้าที่มีการนำเทคโนโลยี สุดล้ำ อย่าง Motion Capture ที่ชื่อ ARAMIS เข้ามาใช้ โดยเทคโนโลยีพื้นรองเท้าตัวนี้ เป็นเทคโนโลยีตัวเดียวกับที่ Nasa เคยใช้ในการออกแบบ Space Shuttle ของยานอวกาศนั่นเอง

จุดเด่น : ผลิตมาจากโฟมที่ถูกเรียกว่า Bounce รองรับแรงได้ดีกว่าพื้น EVA ทั่วไป พร้อมทั้งให้ความยืดหยุ่น (Elastic), ตอบสนอง (Responsive) และซัพพอร์ทเท้าได้เป็นอย่างดี

ความรู้สึก : ให้ฟิลลิ่งที่มั่นคง ไม่แข็งจนเกินไป มีความนุ่มที่พอเหมาะ ดังนั้นพื้นรองเท้ารุ่นนี้น่าจะถูกใจคนที่อยากได้ความมั่นคงมากกว่า Boost และอยากได้ความนิ่มด้วยเช่นกัน

โดยนอกเหนือจากโมเดลรองเท้า AlphaBounce แล้ว พื้น Bounce ยังถูกใช้ในโมเดลรองเท้าไลฟ์สไตล์อย่าง Superstar Bounce  Primeknit อีกด้วย


4D Printing Future Craft


Futurecraft 4D สุดยอดเทคโนโลยีพื้นรองเท้าสุดล้ำ โดยเริ่มจากการร่วมมือกันระหว่าง adidas กับ Carbon บริษัทด้านเทคโนโลยีใน Silicon-Valley เพื่อสร้างพื้นรองเท้าด้วยระบบ Digital Light Synthesis  โดยการขึ้นรูปด้วยวัสดุเรซินเหลว หลังจากนั้นก็ใช้แสงดิจิตอลในการเปลี่ยนสถานะให้เป็นของแข็ง จนเกิดเป็นรูปทรงพื้นรองเท้า ไฮเทคกันแบบสุดๆ ไปเลย

จุดเด่น : ความพิเศษของระบบ Digital Light Synthesis ทำให้พื้นรองเท้าตัวนี้มีน้ำหนักเบา  นุ่มนวล ที่สำคัญคือสามารถผลิตรองเท้าที่ออกแบบมาให้เข้ากับรูปเท้าของแต่ละคน และตรงกับความต้องการรวมถึงลักษณะการใช้งานได้อีกด้วย

ความรู้สึก : อาจจะไม่นุ่มและเด้งเหมือน Boost แต่จะให้ความรู้สึกที่ เฟิร์มกว่า และยังใส่สบายมากๆ อีกทั้งยังรองรับแรงกระแทกได้ค่อนข้างดี

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีตัวนี้อาจยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะราคาต้นทุนที่สูงลิ่ว แต่ในปีนี้ adidas ก็ได้วางแผนที่จะเพิ่มจำนวนการผลิตให้มากขึ้น และล่าสุด ร้าน Retailer ชื่อดังอย่าง Sneakersnstuff ก็ได้ร่วมมือกับ adidas Consortium ออกโมเดล FUTURECRAFT 4D รุ่นพิเศษออกมาวางจำหน่ายแล้ว  ซึ่งเร็วๆ นี้เราน่าจะได้เห็นโมเดลรองเท้าที่่ถูกผลิตขึ้นจากเทคโนโลยีตัวนี้ออกมามากขึ้นอย่างแน่นอน


3.Puma NRGY


จะเรียกว่าเป็น “ฝาแฝด” ของ Boost ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะหน้าตาที่เหมือนกันอย่างกับคลานตามกันมาติดๆ โดยเทคโนโลยีตัวนี้เกิดจากการร่วมมือของ Puma กับบริษัท Huntsman Corp (หลังจากที่ Puma เกิดการไม่ลงรอยกับบริษัท BASF และ BASF ก็ได้ไปทำกับ Adidas แทน) ซึ่งพื้นตัวนี้ ได้ทำการเปิดตัวในรองเท้า NRGY ในปี 2014 แต่ถูกบริษัทพี่อย่าง adidas ฟ้องร้อง จนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นศาลกันใหญ่โต เป็นเวลากว่า 2 ปี แต่ในที่สุดศาลเยอรมันก็ตัดสินอนุญาตให้ Puma สามารถเปิดตัวรองเท้า NRGY จนได้

โดยจุดเด่นหลักๆ ของพื้นรองเท้าชนิดนี้ คือ หน้าตาที่หล่อเหลาพอๆ กับ Boost (แต่มันไม่ใช่ Boost นะ) และประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกัน เช่นความนุ่ม ความทนทานและช่วยซัพพอร์ทได้เป็นอย่างยอดเยี่ยม  

ถึงแม้เทคโนโลยีตัวนี้ บ้านเราอาจไม่ได้รับความนิยม แต่ด้วยราคาที่ต่ำกว่า รองเท้าของ adidas น่าจะเป็นตัวเลือกสำหรับคนที่มีงบน้อยแต่อยากได้รองเท้าที่มีคุณสมบัติพื้นรองเท้าใกล้เคียงกับ Boost ส่วนจะสู้ Boost ได้หรือไม่ แนะนำให้ไปพิสูจน์กันได้ ในโมเดลรองเท้าวิ่งของ Puma อย่าง Mega NRGY, NRGY  Neko knit และ NRGY Comet Running  เป็นต้น



IGNITE


พื้นรองเท้า ที่ใช้วัสดุ  Polyurethane ที่มีคุณสมบัติให้ความนิ่มและรองรับแรงกระแทกได้ดีกว่าโฟม EVA ปกติ ซึ่งจุดเด่นหลักๆ ของพื้นรองเท้าแบบนี้คือให้แรงเด้งกลับที่สูงมาก อีกทั้งยังมีความทนทานสูงอีกด้วย โดย Ignite Foam จะทำงานควบคู่กับ Forever Foam ภายใน ที่จะช่วยดูดซับแรงกระแทกซึ่งสะท้อนเข้าสู่เท้า (คล้ายๆกับเทคโนโลยี Gel ของ Asics) ทำให้เมื่อวิ่งด้วยความเร็วจะให้ความรู้สึกเด้ง และมีความนุ่ม ด้วยเช่นกันสำหรับใครที่ชอบพื้นรองเท้าสาย Energy Return น่าจะชอบ (เทียบเคียงกับเทคโนโลยี React หรือ Boost ได้เลยครับ)

โดยพื้นโฟม IGNITE จะถูกบรรจุในรองเท้าวิ่ง อย่าง IGNITE Limitless SR หรือรองเท้าเทรนนิ่ง อย่าง IGNITE Flash evoKNIT เป็นต้น

Asics Gel



เทคโนโลยีที่เป็น Signature ของแบรนด์ Asics มากว่า 30 ปี เลยทีเดียว เกิดจากการนำวัสดุที่มีชื่อว่า Silicone-based gel ยัดเข้าไปในส่วน Midsole ตรงบริเวณที่เท้ามักจะมีแรงกระทำต่อพื้นอย่างบริเวณฝ่าเท้าด้านหน้ารวมถึงส้นเท้าของเรานั่นเอง โดย Gel ตัวนี้ ขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพในการดูดซับแรงกระแทก ทำให้เมื่อใส่แล้ว จะรู้สึกถึงความนุ่ม สบายเท้า ใส่เดินได้ตลอดทั้งวันไม่มีเมื่อย จะใส่วิ่งก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน

ในปัจจุบันเทคโนโลยีพื้น Gel ตัวนี้ ถูกบรรุจุอยู่ในโมเดลรองเท้ามากมาย ของ Asics ยิ่งถ้าถูกผสานเข้าไปในพื้น FlyteFoam ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นุ่ม สบายเท้า กันแบบสุดๆ โดยโมเดลรองเท้ายอด

ฮิตของ Asics ที่นำเทคโนโลยี Gel มาใช้ ได้แก่โมเดลรองเท้าวิ่งอย่าง GEL-Kayano และ GEL- Nimbus  รวมถึงโมเดลรองเท้าไลฟ์สไตล์ อย่างตระกูล GEL-LYTE เป็นต้น



FlyteFoam


เทคโนโลยีพื้นโฟมแบบใหม่ จากทาง Asics ที่ใช้เวลาในการพัฒนากว่า 3 ปี โดย ASICS Institute of Sport Science ผ่านการศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์ต้นแบบกว่า 300 ชิ้น อีกทั้งในตัว FlyteFoam ยังประกอบไปด้วยเส้นใย Kevlar และ PET ที่ถูกอัดแน่นเข้าไปในเนื้อโฟม ทำให้มีน้ำหนักเบา การคืนตัวของวัสดุก็ยอดเยี่ยม (มีน้ำหนักเบากว่าวัสดุมาตรฐานของ Asics ทั่วไปถึง 55%) อีกทั้งยังมีความทนทานสูง ดังนั้นพื้นตัวนี้จะให้ฟิลลิ่งที่นุ่ม สบายเท้า ถ้าใครชอบพื้นรองเท้านุ่มๆ ซอฟท์ๆ น่าจะชอบพื้นตัวนี้อย่างแน่นอน  ซึ่งเราจะเห็น Asics นำพื้น FlyteFoam มาใช้กับพื้นรองเท้าวิ่งอย่าง GEL-Nimbus และ  DynaFlyte เป็นต้น


New Balance REVlite


สุดยอดเทคโนโลยีพื้นโฟม ที่ถูกต่อยอดมาจากเทคโนโลยี ABZORB  ซึ่งตลอดเวลาที่ทาง New Balance ได้สวมบทบาทในการเป็น “นักเล่นแร่แปรธาตุ” ด้วยการผสมผสานสูตรวัตถุดิบที่ใช่ จากการลองผิดลองถูกนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็ได้วัตถุดิบพิเศษที่มีชื่อว่า REVlite โฟมที่มีความเบา ยืดหยุ่น และมีความทนทานอย่างยอดเยี่ยม ซึ่งโฟมตัวนี้จะให้ความนุ่ม ความสบายและกระชับเท้า กับผู้ที่สวมใส่ได้เป็นอย่างดี

ในปัจจจุบันเทคโนโลยีตัวนี้ถูกบรรจุในโมเดลรองเท้าวิ่งหลายๆรุ่นของ New Balance รวมถึงโมเดลรองเท้าไลฟ์สไตล์ยอดนิยมอย่าง New Balance 247 เป็นต้น


Fresh Foam


เทคโนโลยีพื้นรองเท้าตัวใหม่ล่าสุดของ New Balance ที่เกิดจากการนำโฟม EVA มาปรับแต่งส่วนผสมกับวัตถุดิบอื่นๆ ในระดับที่ละเอียด เพื่อให้ได้โฟมที่มีคุณสมบัติที่เหมาะกับการวิ่งมากที่สุด เกิดเป็นโฟมแบบใหม่ที่มีชื่อว่า Fresh Foam

จุดเด่น : ด้วยคุณสมบัติของ Fresh Foam ซึ่งสามารถรองรับแรงกระแทก เสริมด้วยดีไซน์รูปทรงเลขาคณิต อย่างทรง 6 เหลี่ยม ที่เกิดจากการนำข้อมูลไปประมวลผลในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้รองเท้ารับแรงได้เหมาะสมที่สุดในตำแหน่งต่างๆ รวมไปถึงให้การตอบสนองกับแรงกด และการต้านแรง เป็นต้น

ความรู้สึก : เมื่อใส่แล้วจะรู้สึกไม่เด้งและไม่นิ่มมาก แต่ก็ยังมีความนุ่มพอที่จะรองรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี สำหรับใครที่ชอบพื้นแข็งๆ แต่ก็สามารถซัพพอร์ทเท้าได้ดี Fresh Foam คือหนึ่งในตัวเลือกชั้นยอด

ในปัจจุบัน New Balance ต่างใช้เทคโนโลยีพื้น Fresh Foam ตัวนี้ในโมเดลรองเท้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น รองเท้าวิ่งยอดนิยมของทางแบรนด์ อย่าง Fresh Foam Cruz และ Fresh Foam Cruz Zante รวมถึงโมเดลยอดนิยมอย่างในซีรี่ย์ 574 เป็นต้น

เป็นอย่างไรบ้างครับกับสุดยอดเทคโนโลยีพื้นรองเท้าที่เรานำมาแนะนำให้ได้รู้จักกัน ซึ่งแต่ละตัวนั้นก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการใช้งานประจำวันของทุกคนนะครับ โดยปกติแล้วรองเท้าทุกรุ่นจะบอกถึงเทคโนโลยีที่ใช้กับโมเดลนั้นๆ อยู่แล้ว โดยเราสามารถสังเกตุได้จากชื่อรุ่นของรองเท้านั้นๆ ได้เลย



สุดท้ายของท้ายสุด สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังมองหากล่องรองเท้ามาใส่สนีกเกอร์คู่ใหม่ของคุณ เพื่อเป็นการถนอมรองเท้าของคุณ ทางร้าน Sneaka boxes ของเราเป็นทางออกของคุณได้ครับ ถ้าหากสนใจก็สามารถเข้ามาเลือกชมสินค้าได้ที่แฟนเพจ Facebook https://www.facebook.com/sneakaboxes/ หรือสามารถเข้าไปเลือกชอปฯ ออนไลน์ได้ที่ https://sneakaboxes.wixsite.com/official



>>>มาเก็บรักษารองเท้าด้วย sneakaboxes กันเถอะะะ<<<

576 views0 comments

Comments


bottom of page